ข่าวผลประกอบการ
อินโดรามา เวนเจอร์ส รายงานกำไรหลักพุ่ง 74% สูงเป็นประวัติการณ์
กรุงเทพฯ – ประเทศไทย – 10 สิงหาคม 2559 – บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ ไอวีแอล ผู้ผลิตในอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ชั้นนำระดับโลก ประกาศผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ปี 2559 มีกำไรหลักสุทธิหลังหักภาษีเงินได้และส่วนได้เสียที่ไม่มีอำนาจควบคุม (Core Profit after tax and NCI) สูงเป็นประวัติการณ์อยู่ที่ 2.9 พันล้านบาทในไตรมาสที่ 2 ปี 2559 สะท้อนการเติบโตที่แข็งแกร่ง คิดเป็นร้อยละ 74 เมื่อเทียบปีต่อปี เนื่องจากการฟื้นตัวของอัตรากำไรในกลุ่มธุรกิจ PET และปริมาณการผลิตวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะ PTA จากการเข้าซื้อกิจการในประเทศสเปน (เดิมคือ บริษัท Cepsa ประเทศสเปน) และกิจการผลิตอะโรมาติกส์ ในเมืองดีเคเตอร์ (เดิม คือ บริษัท BP Decatur) ในสหรัฐอเมริกา รวมทั้งปริมาณการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่ม (HVA) อันเป็นผลจากผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ ซึ่งได้แก่ IPA และ NDC จากกิจการที่เข้าซื้อดังกล่าว
ในรอบสิบสองเดือนสิ้นสุดไตรมาสที่ 2 ปี 2559 บริษัทฯ มีกำไรหลักก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (Core EBITDA) ของธุรกิจ PET เพิ่มขึ้นร้อยละ 19 หนุนด้วยการเติบโตของธุรกิจเส้นใยที่ร้อยละ 46 เมื่อเทียบปีต่อปี ผลการดำเนินงานของกลุ่มผลิตภัณฑ์ HVA มีการเติบโตเมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาสและปีต่อปี โดยมี core EBITDA ในรอบสิบสิงเดือนเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 12 พันล้านบาทจาก 9 พันล้านบาทจากปีก่อน
ในไตรมาสที่ 2 มีกำไรจากสินค้าคงเหลือ ซึ่งไม่กระทบเงินสด จำนวน 0.6 พันล้านบาท เนื่องจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น ประกอบกับรายได้พิเศษสุทธิ จำนวน 2.5 พันล้านบาท โดยมาจากกำไรจากการต่อรองราคาซื้อจากการเข้าซื้อกิจการในประเทศสเปนเป็นหลัก ส่งผลให้บริษัทฯ รายงานกำไรสุทธิจำนวน 5.9 พันล้านบาท ในรอบสิงสองเดือนที่ผ่านมา บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 10.8 พันล้านบาทหรือมีกำไรต่อหุ้น 2.08 บาท
นายอาลก โลเฮีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส กล่าว “ผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 2 มีการปรับปรุงในทุกกลุ่มธุรกิจ การเข้าซื้อกิจการล่าสุด ซึ่งได้แก่ IVL Spain และ Aromatics Decatur สะท้อนให้เห็นถึงโมเดลทางธุรกิจที่เป็นเอกลักษณ์และการเลือกยุทธศาสตร์ที่ทำให้ไอวีแอลมีความสามารถในการปรับตัว มีความยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น การผสมผสานระหว่างธุรกิจ จะส่งผลให้เราเป็นหนึ่งในผู้ผลิตที่มีความได้เปรียบในอุตสาหกรรมของเรา รวมทั้งช่วยให้มีการประกันปริมาณการผลิตและกำไรรวม ในขณะเดียวกันรักษาการปรับตัวในอนาคตเมื่ออุตสาหกรรมมีการฟื้นตัว ปัจจุบันไอวีแอลเป็นบริษัทที่มีการบูรณาการมากที่สุดในอุตสาหกรรม”
นายโลเฮีย ได้แสดงความเห็นในภาพรวมของธุรกิจว่า “ผลการดำเนินงานในอเมริกาเหนือมีการผสมผสาน รายได้ของธุรกิจ EOEG ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนตัวเร่งปฏิกริยา (catalyst) ในขณะที่ธุรกิจเส้นใยและ PET ทั้งในกลุ่ม necessities และ HVA มีผลการประกอบการดีเยี่ยมและมี core EBITDA เติบโตเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบปีต่อปี ความต้องการผลิตภัณฑ์ necessities ในเอเชีย ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งช่วยลดความรุนแรงของสถานการณ์กำลังการผลิตส่วนเกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง PTA เรามองว่า มีสัญญาณการฟื้นตัวอย่างช้าๆ จากการปรับโครงสร้างของสินทรัพย์ที่ไม่ใช่สินทรัพย์หลักและมีการดำเนินงานที่ต่ำกว่ามาตรฐานในอุตสาหกรรม รวมทั้งมีการเผ้าระวังกำลังการผลิตที่เกิดขึ้นใหม่ ในยุโรป ตะวันออกกลางและแอฟริกา มีตัวเลข core EBITDA เติบโตเมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาสและปีต่อปี เราคาดว่าจะเห็นการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากการขยายการผลิตของโรงงานผลิต PTA ของเราในร็อเตอร์ดัมและการปรับปรุงการผลิต IPA ต่อจากนี้”
“ความหลากหลายของกลุ่มผลิตภัณฑ์ ภูมิภาคในการดำเนินงานและตลาดของเราจะเป็นเหมือนตัวเร่งการเติบโตในอนาคต ไอวีแอลจะยังคงสร้างการเกื้อหนุนอย่างต่อเนื่อง พร้อมเร่งปรับเปลี่ยนการดำเนินงาน ซึ่งจะช่วยให้เรามีการดำเนินงานที่โดดเด่นกว่าเมื่อเทียบกับบริษัทอื่นที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันและสร้างคุณค่าให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียอย่างยั่งยืน” นายโลเฮียกล่าวสรุป
ในรอบสิบสองเดือนสิ้นสุดไตรมาสที่ 2 ปี 2559 บริษัทฯ มีกำไรหลักก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (Core EBITDA) ของธุรกิจ PET เพิ่มขึ้นร้อยละ 19 หนุนด้วยการเติบโตของธุรกิจเส้นใยที่ร้อยละ 46 เมื่อเทียบปีต่อปี ผลการดำเนินงานของกลุ่มผลิตภัณฑ์ HVA มีการเติบโตเมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาสและปีต่อปี โดยมี core EBITDA ในรอบสิบสิงเดือนเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 12 พันล้านบาทจาก 9 พันล้านบาทจากปีก่อน
ในไตรมาสที่ 2 มีกำไรจากสินค้าคงเหลือ ซึ่งไม่กระทบเงินสด จำนวน 0.6 พันล้านบาท เนื่องจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น ประกอบกับรายได้พิเศษสุทธิ จำนวน 2.5 พันล้านบาท โดยมาจากกำไรจากการต่อรองราคาซื้อจากการเข้าซื้อกิจการในประเทศสเปนเป็นหลัก ส่งผลให้บริษัทฯ รายงานกำไรสุทธิจำนวน 5.9 พันล้านบาท ในรอบสิงสองเดือนที่ผ่านมา บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 10.8 พันล้านบาทหรือมีกำไรต่อหุ้น 2.08 บาท
นายอาลก โลเฮีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส กล่าว “ผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 2 มีการปรับปรุงในทุกกลุ่มธุรกิจ การเข้าซื้อกิจการล่าสุด ซึ่งได้แก่ IVL Spain และ Aromatics Decatur สะท้อนให้เห็นถึงโมเดลทางธุรกิจที่เป็นเอกลักษณ์และการเลือกยุทธศาสตร์ที่ทำให้ไอวีแอลมีความสามารถในการปรับตัว มีความยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น การผสมผสานระหว่างธุรกิจ จะส่งผลให้เราเป็นหนึ่งในผู้ผลิตที่มีความได้เปรียบในอุตสาหกรรมของเรา รวมทั้งช่วยให้มีการประกันปริมาณการผลิตและกำไรรวม ในขณะเดียวกันรักษาการปรับตัวในอนาคตเมื่ออุตสาหกรรมมีการฟื้นตัว ปัจจุบันไอวีแอลเป็นบริษัทที่มีการบูรณาการมากที่สุดในอุตสาหกรรม”
นายโลเฮีย ได้แสดงความเห็นในภาพรวมของธุรกิจว่า “ผลการดำเนินงานในอเมริกาเหนือมีการผสมผสาน รายได้ของธุรกิจ EOEG ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนตัวเร่งปฏิกริยา (catalyst) ในขณะที่ธุรกิจเส้นใยและ PET ทั้งในกลุ่ม necessities และ HVA มีผลการประกอบการดีเยี่ยมและมี core EBITDA เติบโตเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบปีต่อปี ความต้องการผลิตภัณฑ์ necessities ในเอเชีย ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งช่วยลดความรุนแรงของสถานการณ์กำลังการผลิตส่วนเกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง PTA เรามองว่า มีสัญญาณการฟื้นตัวอย่างช้าๆ จากการปรับโครงสร้างของสินทรัพย์ที่ไม่ใช่สินทรัพย์หลักและมีการดำเนินงานที่ต่ำกว่ามาตรฐานในอุตสาหกรรม รวมทั้งมีการเผ้าระวังกำลังการผลิตที่เกิดขึ้นใหม่ ในยุโรป ตะวันออกกลางและแอฟริกา มีตัวเลข core EBITDA เติบโตเมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาสและปีต่อปี เราคาดว่าจะเห็นการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากการขยายการผลิตของโรงงานผลิต PTA ของเราในร็อเตอร์ดัมและการปรับปรุงการผลิต IPA ต่อจากนี้”
“ความหลากหลายของกลุ่มผลิตภัณฑ์ ภูมิภาคในการดำเนินงานและตลาดของเราจะเป็นเหมือนตัวเร่งการเติบโตในอนาคต ไอวีแอลจะยังคงสร้างการเกื้อหนุนอย่างต่อเนื่อง พร้อมเร่งปรับเปลี่ยนการดำเนินงาน ซึ่งจะช่วยให้เรามีการดำเนินงานที่โดดเด่นกว่าเมื่อเทียบกับบริษัทอื่นที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันและสร้างคุณค่าให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียอย่างยั่งยืน” นายโลเฮียกล่าวสรุป