ข่าวผลประกอบการ
IVL รายงานรายได้รวมไตรมาส 1 ปี 2555 1.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ
กรุงเทพฯ - 11 พฤษภาคม 2555 - บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตในห่วงโซ่โพลีเอสเตอร์แบบครบวงจรชั้นนำระดับโลก รายงานปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้นในไตรมาสที่ 1 ปี 2555 อยู่ที่ 1.2 ล้านตันหรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 24 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 1 ปี 2554 ผลมาจากอัตราการใช้กำลังการผลิตที่เริ่มปรับตัวสูงขึ้นหลังจากปีใหม่ เนื่องจากสิ้นสุดการปรับลดสินค้าคงเหลือในอุตสาหกรรมในไตรมาสที่ 4 ปี 2554 และเริ่มกลับมาสต๊อกสินค้าเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ทั้งปริมาณขายและมูลค่ามีการปรับตัวดีขึ้นจาก ไตรมาสที่ 4 ปี 2554 ด้วยรายได้รวม 1,696 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 21 จากไตรมาสที่แล้ว
กำไรรวมก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคา และค่าตัด จำหน่าย (Consolidated EBITDA) สำหรับไตรมาสนี้เพิ่มขึ้นร้อยละ 129 จากไตรมาสที่แล้ว อยู่ที่ 98 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงร้อยละ 54 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 1 ปี 2554 ในขณะที่ Core EBITDA (ภายหลังการปรับปรุงผลกระทบจากกำไรขาดทุนในสินค้าคงเหลือ) เท่ากับ 84 ล้านเหรียญสหรัฐ ยังคงสูงกว่าไตรมาสที่ 4 ปี 2554 ร้อยละ 6 แม้ว่าจะต่ำกว่าไตรมาสที่ 1 ปี 2554 ร้อยละ 47 ในขณะที่มีกำไรสุทธิ 55 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งปรับตัวดีขึ้นจากการขาดทุนสุทธิ 51 ล้านเหรียญสหรัฐในไตรมาสที่ 4 ปี 2554 แต่ยังคงต่ำกว่ากำไรสุทธิในไตรมาสที่ 1 ปี 2554 เท่ากับ 365 ล้านเหรียญสหรัฐหรือคิดเป็นร้อยละ 85
นายอาลก โลเฮีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) กล่าว "การพลิกฟื้นของปริมาณความต้องการสะท้อนถึงความเชื่อมั่นทางบวกในตลาด ในขณะที่ลูกค้าเริ่มซื้ออีกครั้ง ความต้องการที่ยั่งยืนจากผู้บริโภคนำไปสู่ความต้องการสินค้าและช่วยปรับปรุง EBITDA ให้ดีขึ้น"
"แม้ว่าภาวะตลาดยังคงมีความผันผวนทั่วโลก แต่นี่เป็นเครื่องพิสูจน์สำหรับธุรกิจของเราที่มีการเชื่อมโยงระหว่างอุตสาห กรรมปิโตรเคมีต้นน้ำและอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคปลายน้ำในระดับโลก ทำให้บริษัทยังคงขับเคลื่อนการเติบโตอย่างต่อเนื่อง" นายโลเฮียกล่าว
รายได้ของกลุ่ม PET ในไตรมาสที่1 ปี 2555 เพิ่มขึ้นร้อยละ 15 จากไตรมาสที่ 4 ปี 2554 และเพิ่มขึ้นร้อยละ 29 จากไตรมาสที่ 1 ปี 2554 ซึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของปริมาณการผลิตจากการดำเนินงานเต็มปีของ กิจการที่เข้าซื้อในไตรมาสที่ 1 ปี 2554 ในประเทศจีน อินโดนีเซีย เม็กซิโก โปแลนด์ และสหรัฐอเมริกา ความต้องการ PET เพิ่มขึ้นทั่วโลกหลังจากการปรับลดสินค้าคงเหลือในไตรมาสสุดท้ายในปี 2554
รายได้ของกลุ่มโพลีเอสเตอร์และเส้นใย Polyolefin ในไตรมาสที่ 1 ปี 2555 เพิ่มขึ้นอย่างมากคิดเป็นร้อยละ 78 เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2554 และเพิ่มขึ้นร้อยละ 87 เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2554 ซึ่งได้รับแรงผลักดันจากการเติบโตของปริมาณจากการดำเนินงานเต็มปีของกิจการ ที่เข้าซื้อเมื่อปีที่แล้วในประเทศอินโดนีเซีย สหรัฐอเมริกา และยุโรป รวมทั้งกิจการใหม่ บริษัท Wellman International ในเดือนพฤศจิกายน 2554 และบริษัท FiberVisions ในเดือนมกราคม 2555
ภาพรวมของ PTA ยังสามารถควบคุมได้ในเอเชีย แม้ว่าจะมีกำไรในระดับที่ค่อนข้างต่ำ แต่คาดว่าจะค่อยๆปรับตัวดีขึ้น ปริมาณการบริโภคภายในกลุ่มและโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพ จะส่งผลให้ผลประกอบการตลอดทั้งปีดีขึ้น
บริษัทฯ คาดว่า ผลประกอบการจะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในไตรมาสที่ 2 ปี 2555 หลังการปรับปรุงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2555 ในประเทศไทยและอินโดนีเซีย และการขยายกำลังการผลิตที่ประเทศจีนเป็น 500,000 ตันต่อปี ซึ่งจะส่งผลต่อการเติบโตและรายได้ที่เพิ่มขึ้นของบริษัทฯในปี 2555 ในเดือนเมษายน 2555 โรงงานที่จังหวัดลพบุรี เริ่มดำเนินการอีกครั้งหลังจากได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมในปี 2554 และการเข้าซื้อกิจการบริษัท Old World ซึ่งผลิต MEG ในประเทศสหรัฐอเมริกาจะส่งผลต่อผลประกอบการในปีนี้อย่างมีนัยสำคัญ บริษัท Polypet ซึ่งผลิตเม็ดพลาสติก PET ในประเทศอินโดนีเซียจะมีการปิดในไตรมาสที่ 2 ปี 2555 และคาดว่าจะเพิ่มผลกำไรในปีแรกของการดำเนินงาน
กำไรรวมก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคา และค่าตัด จำหน่าย (Consolidated EBITDA) สำหรับไตรมาสนี้เพิ่มขึ้นร้อยละ 129 จากไตรมาสที่แล้ว อยู่ที่ 98 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงร้อยละ 54 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 1 ปี 2554 ในขณะที่ Core EBITDA (ภายหลังการปรับปรุงผลกระทบจากกำไรขาดทุนในสินค้าคงเหลือ) เท่ากับ 84 ล้านเหรียญสหรัฐ ยังคงสูงกว่าไตรมาสที่ 4 ปี 2554 ร้อยละ 6 แม้ว่าจะต่ำกว่าไตรมาสที่ 1 ปี 2554 ร้อยละ 47 ในขณะที่มีกำไรสุทธิ 55 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งปรับตัวดีขึ้นจากการขาดทุนสุทธิ 51 ล้านเหรียญสหรัฐในไตรมาสที่ 4 ปี 2554 แต่ยังคงต่ำกว่ากำไรสุทธิในไตรมาสที่ 1 ปี 2554 เท่ากับ 365 ล้านเหรียญสหรัฐหรือคิดเป็นร้อยละ 85
นายอาลก โลเฮีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) กล่าว "การพลิกฟื้นของปริมาณความต้องการสะท้อนถึงความเชื่อมั่นทางบวกในตลาด ในขณะที่ลูกค้าเริ่มซื้ออีกครั้ง ความต้องการที่ยั่งยืนจากผู้บริโภคนำไปสู่ความต้องการสินค้าและช่วยปรับปรุง EBITDA ให้ดีขึ้น"
"แม้ว่าภาวะตลาดยังคงมีความผันผวนทั่วโลก แต่นี่เป็นเครื่องพิสูจน์สำหรับธุรกิจของเราที่มีการเชื่อมโยงระหว่างอุตสาห กรรมปิโตรเคมีต้นน้ำและอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคปลายน้ำในระดับโลก ทำให้บริษัทยังคงขับเคลื่อนการเติบโตอย่างต่อเนื่อง" นายโลเฮียกล่าว
รายได้ของกลุ่ม PET ในไตรมาสที่1 ปี 2555 เพิ่มขึ้นร้อยละ 15 จากไตรมาสที่ 4 ปี 2554 และเพิ่มขึ้นร้อยละ 29 จากไตรมาสที่ 1 ปี 2554 ซึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของปริมาณการผลิตจากการดำเนินงานเต็มปีของ กิจการที่เข้าซื้อในไตรมาสที่ 1 ปี 2554 ในประเทศจีน อินโดนีเซีย เม็กซิโก โปแลนด์ และสหรัฐอเมริกา ความต้องการ PET เพิ่มขึ้นทั่วโลกหลังจากการปรับลดสินค้าคงเหลือในไตรมาสสุดท้ายในปี 2554
รายได้ของกลุ่มโพลีเอสเตอร์และเส้นใย Polyolefin ในไตรมาสที่ 1 ปี 2555 เพิ่มขึ้นอย่างมากคิดเป็นร้อยละ 78 เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2554 และเพิ่มขึ้นร้อยละ 87 เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2554 ซึ่งได้รับแรงผลักดันจากการเติบโตของปริมาณจากการดำเนินงานเต็มปีของกิจการ ที่เข้าซื้อเมื่อปีที่แล้วในประเทศอินโดนีเซีย สหรัฐอเมริกา และยุโรป รวมทั้งกิจการใหม่ บริษัท Wellman International ในเดือนพฤศจิกายน 2554 และบริษัท FiberVisions ในเดือนมกราคม 2555
ภาพรวมของ PTA ยังสามารถควบคุมได้ในเอเชีย แม้ว่าจะมีกำไรในระดับที่ค่อนข้างต่ำ แต่คาดว่าจะค่อยๆปรับตัวดีขึ้น ปริมาณการบริโภคภายในกลุ่มและโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพ จะส่งผลให้ผลประกอบการตลอดทั้งปีดีขึ้น
บริษัทฯ คาดว่า ผลประกอบการจะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในไตรมาสที่ 2 ปี 2555 หลังการปรับปรุงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2555 ในประเทศไทยและอินโดนีเซีย และการขยายกำลังการผลิตที่ประเทศจีนเป็น 500,000 ตันต่อปี ซึ่งจะส่งผลต่อการเติบโตและรายได้ที่เพิ่มขึ้นของบริษัทฯในปี 2555 ในเดือนเมษายน 2555 โรงงานที่จังหวัดลพบุรี เริ่มดำเนินการอีกครั้งหลังจากได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมในปี 2554 และการเข้าซื้อกิจการบริษัท Old World ซึ่งผลิต MEG ในประเทศสหรัฐอเมริกาจะส่งผลต่อผลประกอบการในปีนี้อย่างมีนัยสำคัญ บริษัท Polypet ซึ่งผลิตเม็ดพลาสติก PET ในประเทศอินโดนีเซียจะมีการปิดในไตรมาสที่ 2 ปี 2555 และคาดว่าจะเพิ่มผลกำไรในปีแรกของการดำเนินงาน