กรุงเทพฯ – ประเทศไทย – 7 สิงหาคม 2561 – บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ ไอวีแอล ผู้ผลิตเคมีภัณฑ์ชั้นนำระดับโลก รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ปี 2561 และครึ่งแรกของปี 2561 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2561

ผลการดำเนินงานที่สำคัญ

  • รายได้จากการขายรวม 2,618 ล้านเหรียญสหรัฐในไตรมาสที่ 2/2561; ในครึ่งแรกของปี 2561 มีรายได้รวม 5,032 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 22 เมื่อเทียบปีต่อปี
  • กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) 398 ล้านเหรียญสหรัฐในไตรมาสที่ 2/2561 เพิ่มขึ้นร้อยละ 15 จากไตรมาสที่ 1/2561; EBITDA  ในครึ่งแรกของปี 2561 อยู่ที่ 742 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 57 เมื่อเทียบปีต่อปี
  • กำไรสุทธิ (Net Profit) 259 ล้านเหรียญสหรัฐในไตรมาสที่ 2/2561; 443 ล้านเหรียญสหรัฐในครึ่งแรกของปี 2561 เพิ่มขึ้นร้อยละ 109 เมื่อเทียบปีต่อปี
  • คณะกรรมการบริษัท มีมติอนุมัติเงินปันผลระหว่างกาลอยู่ที่ 0.70 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้นร้อยละ 55.56% เมื่อเทียบกับ 0.45 บาทต่อหุ้นในปีที่ผ่านมา
  • กำไรต่อหุ้น (EPS) ในรอบ 12 เดือนสิ้นสุดไตรมาสที่ 2/2561 อยู่ที่ 5.02 บาทต่อหุ้น – เพิ่มขึ้นร้อยละ 94 เมื่อเทียบปีต่อปี หลังจากจํานวนหุ้นใหม่ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.8 จากการใช้สิทธิในใบสำคัญแสดงสิทธิ (warrants)
  • หนี้สินจากการดำเนินงานสุทธิต่อทุน อยู่ที่ 0.45 และผลตอบแทนหลักจากการใช้เงินลงทุน (Core ROCE) อยู่ที่ร้อยละ 15.8 โดยใช้เกณฑ์ 12 เดือนล่าสุด

ข้อมูลสรุป:

ในไตรมาสนี้ เป็นอีกไตรมาสที่ไอวีแอลมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง มีการพัฒนาทั้งในส่วนปริมาณการผลิตและกำไรในทุกอุตสาหกรรมและทุกภูมิภาค สะท้อนให้เห็นถึง:

  • การพัฒนากลุ่มผลิตภัณฑ์ – ไอวีแอลยังคงขับเคลื่อนการเติบโตทั้งในกลุ่มผลิตภัณฑ์ Necessities ที่มีปริมาณการผลิตสูงและกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่ม (HVA) ที่มีกำไรสูงและมั่นคง เพื่อการเติบโตของกำไรที่ยั่งยืน  บริษัทฯ มีการพัฒนากลุ่มผลิตภัณฑ์เพิ่มเติมผ่านทางการเติบโตตามปกติ โครงการเพื่อความเป็นเลิศด้านการปฏิบัติงาน การเข้าซื้อกิจการที่สร้างมูลค่าเพิ่มและยุทธศาสตร์การบูรณาการ ปัจจุบันไอวีแอลมีขนาดการดำเนินงานระดับโลกที่มีการบูรณาการภายในห่วงโซ่คุณค่าโพลีเอสเตอร์และบูรณาการกับผลิตภัณฑ์ HVA โดยมีส่วนประสมผลิตภัณฑ์และภูมิศาสตร์การดำเนินธุรกิจที่มีความยืดหยุ่นและเหมาะสม ไอวีแอลเป็นผู้ผลิต PET รายใหญ่ที่สุดของโลก

    โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ มีความหลากหลาย ประกอบด้วยผลิตภัณฑ์ Necessities ที่มีปริมาณการผลิตสูง (คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 80 ของปริมาณการผลิตรวม สิ้นสุดไตรมาสที่ 2/2561) ซึ่งปัจจุบันมีกำไรที่ดีขึ้น และกลุ่มผลิตภัณฑ์ HVA  ที่มีกำไรสูงและมั่นคง (คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 20 ของปริมาณการผลิตรวม สิ้นสุดไตรมาสที่ 2/2561)

  • การลงทุนอย่างมีกลยุทธ์ – บริษัทฯ มีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยตั้งแต่เดือนมีนาคม 2561 บริษัทฯ มีการเข้าซื้อกิจการ 6 แห่ง ได้แก่ การเข้าซื้อโรงงานผลิต PET ในประเทศบราซิลและอียิปต์ ทำให้มีกำลังการผลิตเพิ่มรวม 1.1 ล้านตัน; บริษัท Avgol ซึ่งช่วยส่งเสริมกลุ่มผลิตภัณฑ์ HVA และส่วนแบ่งการตลาดในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เพื่อสุขอนามัยส่วนบุคคล; บริษัท Kordarna เพื่อเสริมความเป็นผู้นำในกลุ่มอุตสาหกรรมยางในรถยนต์ทั้งในยุโรปและทั่วโลก ทำให้สามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์เสริมแรงสำหรับยางรถยนต์ได้อย่างครบวงจรมากยิ่งขึ้น; บริษัท Medco ซึ่งเป็นผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์ชั้นนำในประเทศอียิปต์ที่มีความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับลูกค้า; และล่าสุดบริษัท Sorepla ซึ่งเป็นธุรกิจรีไซเคิลในประเทศฝรั่งเศส เพื่อตอบสนองความต้องการพลาสติก PET ที่เพิ่มขึ้น

  • การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างและทิศทางการเคลื่อนไหวที่แข็งแกร่งในอุตสาหกรรม – พื้นฐานอุตสาหกกรมยังคงเป็นบวกอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยมาจากความต้องการผลิตภัณฑ์ PET ที่รีไซเคิลได้มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ความสมดุลของปริมาณสินค้า และการปรับปรุงในอุตสาหกรรม PET ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจัยเหล่านี้นับเป็นโอกาสสำหรับผู้ผลิตที่มีการบริหารจัดการที่ดีและมุ่งมั่นในการส่งมอบผลิตภัณฑ์แก่ลูกค้าในสภาวะที่อุปทานในตลาดมีความตึงต

    การปรับปรุงโครงสร้างในวัฏจักรผลิตภัณฑ์ Commodity ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรในรอบ 12 เดือนสิ้นสุดไตรมาสที่ 2/2561 จากธุรกิจ Necessities อยู่ที่ 716 ล้านเหรียญสหรัฐ สูงกว่ากำไรจากธุรกิจ HVA ที่มีกำไร 540 ล้านเหรียญสหรัฐ สะท้อนให้เห็นการฟื้นตัวของกำไรในธุรกิจ Necessities

  • การพัฒนาอย่างยั่งยืน – เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน ฟุตซี่ รัสเซล (FTSE Russell) ซึ่งเป็นผู้จัดทำดัชนี FTSE และดัชนี Russell ประกาศว่า ไอวีแอลได้รับคัดเลือกให้อยู่ในดัชนี FTSE4 Good Index 2018 และอยู่ในระดับผู้นำเมื่อเทียบกับบริษัทเคมีภัณฑ์ทั่วโลก

ตัวเลขทางการเงินหลักของบริษัทในไตรมาสที่ 2/2561:

รายไตรมาส 6 เดือน
(หน่วย: ล้านเหรียญสหรัฐ) ไตรมาสที่ 2/2561 ไตรมาสที่ 1/2561 ไตรมาสที่ 2/2560 ไตรมาสที่ 2/2561
(เปรียบเทียบ)
YoY
ครี่งแรกปี 2561 ครี่งแรกปี 2560 6 เดือน
(เปรียบเทียบ)
YoY
รายได้จากการขายรวม 2,618 2,414 2,089 25% 5,032 4,130 22%
กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) 398 344 216 84% 742 473 57%
กำไรต่อหุ้น หลังจากดอกเบี้ยจ่ายสำหรับหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุน (บาท) 1.45 1.04 0.56 161% 443 213 109%
EBITDA ต่อตัน ($) 156 148 97 61% 152 107 42%
  • EBITDA ต่อตัน สูงสุดเป็นประวัติการณ์เพิ่มขึ้นเป็น 156 เหรียญต่อตัน
  • ปริมาณการผลิต 2.5 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 15 เมื่อเทียบปีต่อปีจากอัตราการใช้กำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น ถูกหักลบจากเหตุสุดวิสัยที่เกิดจกาการจัดหาวัตถุดิบบางส่วน
  • กำไรต่อหุ้น 1.45 บาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 161 เมื่อเทียบปีต่อปี หลังจากได้รับผลกระทบจากการใช้สิทธิของใบสำคัญแสดงสิทธิ

นายอาลก โลเฮีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส กล่าว:

"ผลการดำเนินงานเหล่านี้นับเป็นผลลัพธ์ที่น่ายินดี สะท้อนให้เห็นถึงการดำเนินกลยุทธ์ที่แข็งแกร่ง ทิศทางการเคลื่อนไหวที่แข็งแกร่งในธุรกิจ และการปรับปรุงโครงสร้างอย่างต่อเนื่องในอุตสาหกรรม Necessities

ภาพรวมของครึ่งหลังของปีนี้จะช่วยส่งเสริมผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง เราคาดการณ์สภาวะตลาดที่ดีในปัจจุบันจะยังคงดีอย่างต่อเนื่อง เราจะยังคงเดินหน้าอย่างต่อเนื่องในทั้งสองกลุ่มธุรกิจหลัก เพื่อเสริมสร้างรากฐานของการสร้างมูลค่าอย่างยั่งยืน

จากผลการดำเนินที่แข็งแกร่งในครึ่งแรกและการคาดการณ์การดำเนินงานที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องในครึ่งหลังของปีนี้ เราได้ปรับเพิ่มการประมาณการณ์ Core EBITDA ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 75 จากปี 2560 เป็น 1.75 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2562  ช่วงเวลานี้นับเป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นสำหรับไอวีแอล และผมเชื่อมั่นว่า เราจะสามารถส่งมอบผลการดำเนินงานในระดับผู้นำตลาดได้อย่างต่อเนื่อง"